วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

ใครสามารถกว่ากัน




“ใครสามารถกว่าใคร”
อาจารย์คนหนึ่งมีความรู้สอบได้ชั้น “ซิ่วฉ่าย” จึงถือตัวว่ามีความรู้ความสามารถมาก ก็เลยดูถูกเหยียดหยามคนที่หากินด้วยแรงกายว่าต่ำต้อย สู้คนรู้หนังสือไม่ได้ วันหนึ่งลูกศิษย์ได้เชิญอาจารย์มารับประทานอาหารที่บ้านโดยจัดให้อาจารย์นั่งร่วมโต๊ะกับ ช่างปูน ช่างตัดเสื้อ และชาวนาอย่างละคน อาจารย์เห็นลูกศิษย์จัดให้นั่งร่วมโต๊ะกับคน “โง่ๆ” ก็ไม่พอใจรู้สึกว่าเสียเกียรติ แต่ไม่กล้าขัดขืนเกรงจะถูกกล่าวหาว่าเสียมารยาท ในขณะที่กินอาหาร อาจารย์ต้องการแสดงค่าของตนเองจึงคุยโม้โอ้อวดไม่หยุดปาก จนเพื่อนร่วมโต๊ะรำคาญจึงถามว่า
“ท่านอาจารย์ครับ ท่านมีความรู้ความสามารถด้านไหน” ท่านอาจารย์เอามือลูบหนวดเคราอย่างภาคภูมิแล้วพูดช้าๆ ว่า “สรรพสิ่งหมื่นแสนในโลกนี้ล้วนต่ำต้อยทั้งสิ้น วิชาหนังสือเท่านั้นจึงจะถือได้ว่าสุดยอด” แล้วพูดเป็นกลอนว่า “อันพู่กัน กระดาษ แท่นหมึกนี้ เป็นยอดดีเหนือสิ่งทั้งหลายสิ้น
เอ็งมีตา หามีแวว แว่วแต่กิน อยากจะดิ้น หาอะไร ให้ว่ามา”
ช่างปูนได้ฟังจึงกล่าวว่า
“มีดขูดปูน ชุดนี้ สิดีนัก สร้างอาคาร บ้านพัก เสียนักหนา
หากอาจารย์ นั่งอ่าน แต่ตำรา โดนแดดกล้า น้ำค้างพรม จะพานตาย”
ช่างตัดเสื้อจึงเสริมว่า
“อันเข็มด้าย และมีด ชุดนี้หนอ ทำเสื้อผ้า หุ้มห่อ ท่านทั้งหลาย
ไม่มีเรา เอาอะไร มาแต่งกาย ต้องแก้ผ้า ไม่อาย บ้างหรือไร ”
ชาวนาพูดต่ออีกว่า
“อันเสียมจอบ ที่ถือ ในมือนี้ ข้างสาลี แตงถั่ว จึงเกิดได้
ไม่มีข้า อาจารย์ กินอะไร หรือชอบใจ กินดิน ก็เชิญเลย”
ท่านอาจารย์ซิ่วฉ่ายเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หน้าแดงนั่งก้มหน้าด้วยความอับอาย กลืนคำข้าวเหมือนดั่งกลื่นหมาป่า และเสือเข้าไป จึงค่อยๆ วางตะเกียบแล้วลุกขึ้นลาเจ้าภาพกลับไป.....
เป็นอย่างไรบ้างคะกับบทความข้างต้น คุณผู้อ่านสามารถตัดสินได้หรือยังว่า “ใครสามารถกว่าใคร”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น